หัวข้อข่าว : การส่งเสริมการรู้หนังสือ

2022-02-24 14:22:09 เข้าชม : 25,247 ครั้ง | ส่งข่าวนี้ไปที่


วันการศึกษานอกโรงเรียน เริ่มจากมติที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจากนานาชาติว่าด้วยการไม่รู้หนังสือ เมื่อปี พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) ดังกล่าวนี้ทำให้ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) กำหนดวันที่ 8 กันยายน ของทุกปีเป็นวัน International Literacy Day

ประเทศไทยได้เริ่มจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อการรณรงค์และระลึกถึงการรู้หนังสือมาตั้งแต่ พ.ศ. 2510 และกระทั่ง พ.ศ. 2522 ได้จัดนิทรรศการ "วันการศึกษานอกโรงเรียน" โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความร่วมมือ เพื่อเป็นการสร้างเสริมคุณลักษณะที่ดีของการเรียนรู้และกระตุ้นให้ประชาชน ได้เห็นความสำคัญของการรู้หนังสือ และการศึกษาตลอดชีวิต ด้วยเหตุนี้ และใช้กำหนด Internationnal Literacy Day เป็น วันการศึกษานอกโรงเรียน ของไทยเช่นกัน

ภารกิจการการส่งเสริมรู้หนังสือ ซึ่งเป็นหนึ่งงานหลักของ กศน. ที่ได้เริ่มดำเนินการมา ตั้งแต่ก่อนเป็นกรมการศึกษานอกโรงเรียน   จนถึงปัจจุบัน ภารกิจการรู้หนังสือของ กศน. ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

การรู้หนังสือ  มีนิยามที่แตกต่างกันเป็น  4 จำพวก (UNESCO 2006 : 148 หน้า)

  • การรู้หนังสือเป็นทักษะอัตโนมัติชุดหนึ่ง  (literacy as an autonomous set of skills) จุดเน้นของความหมายนี้   คือ   ทักษะการอ่าน  ฟัง พูด เขียน และทักษะการคิดคำนวณ
  • การรู้หนังสือเป็นสิ่งที่ปฏิบัติและขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม (literacy as applied, practiced and situated)   เป็นการมุ่งใช้ทักษะในถสานการณ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นที่มาของการรู้หนังสือแบบเบ็ดเสร็จ (functional literacy)  แนวคิดนี้มองว่า การรู้หนังสือควรส่งผลต่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ(และต่อมายังขยายไปถึงการพัฒนา  ด้านอื่น ๆ เช่น บุคคล วัฒนธรรม และการเมือง) แนวคิดของการศึกษาแบบเบ็ดเสร็จมองการรู้หนังสือว่าสามารถจะสอนให้เกิดทักษะทั่วไปที่สามารถนำไปใช้ในทุกนทุกแห่งได้
  • การเรียนรู้เป็นกระบวนการเรียนรู้   (literacy as a learning process)  การรู้หนังสือแนวคิดนี้เป็นอีกแนวคิดหนึ่งซึ่งเห็นว่า การรู้หนังสือไม่ใช่การรู้หนังสือแบบจำกัดตัวอยู่เฉพาะการจัดให้อ่านเขียนเท่านั้น แต่มองว่าประสบการณ์เป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนรู้  เปาโล  แฟร (Paulo Freire) เห็นว่า การอ่านคำแต่ละเป็นไม่ใช่เป็นเพียงการออกสียงให้ถูกต้อง แต่เป็นการอ่านโลก (หรือสภาพแวดล้อม) ที่คำ ๆ นั้น ถูกนำมาใช้เป็นตัวแทน การอ่านคำ จึงเป็นการอ่านโลกซ้ำอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง ( The reading of the word sends the reader back to the previous reading of the world, which is, in fact, a rereading.) (Paulo  Freire.  Pedagogy of the City, 1993)
  • การรู้หนังสือเป็นการอ่านตำรา (literacy as text)  แนวคิดนี้มองว่า การรู้หนังสือเป็นการอ่านตำรา  (Bhola, 1994) ตามทฤษฎีนี้ มีแนวคิดว่า แบบเรียนหรือวัสดุการอ่านที่ใช้ในโรงเรียน มีความสัมพันธ์กับชีวิตของผู้เรียนในปัจจุบันและอนาคต จึงควรศึกษาวิเคราะห์เรื่องราวที่อยู่ในหนังสือเหล่านั้น เพื่อทำความเข้าใจชีวิตในปัจจุบัน และอนาคตที่ผู้เรียนจะต้องมีส่วนร่วม

สำหรับประเทศไทย ได้ใช้นิยามการรู้หนังสือ ดังนี้

  • การอ่านออกเขียนได้  หมายถึง ความสามารถอ่านและเขียน(อ่านน้อย) ข้อความง่าย ๆ ภาษาใดภาษาหนึ่งไ ถ้าอ่านออกอย่างเดียว แต่เขียนไม่ได้ถือว่าเป็นผู้อ่านเขียนไม่ได้ (สำนักงานสถิติแห่งชาติ. รายงานผลการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับการอ่านออกเขียนได้ของประชากร พ.ศ. 2528)
  • การอ่านออกเขียนได้ หมายถึง ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ของบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปี ขึ้นไป  การอ่านออกเขียนได้นี้ จะเป็นภาษาใด ๆ ก็ได้ทั้งสิ้น โดยอ่านและเขียนข้อความง่าย ๆ ได้ ถ้าอ่านออกเพียงอย่างเดียว แต่เขียนไม่ได้ก็ถือว่าเป็นผู้ที่อ่านเขียนไม่ได้ (สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี. รายงานการสำรวจการอ่านเขียนของประชากร พ.ศ.2537)
  • การอ่านออกเขียนได้ หมายถึง ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ของบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป การอ่านออกเขียนได้ จะเป็นภาษาใด ๆ ก็ตามทั้งสิ้น โดยอ่านและเขียนข้อความง่าย ๆ ได้ ถ้าอ่านออกเพียงอย่างเดียวแต่เขียนไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นผู้ที่อ่านเขียนไม่ได้ (สำนักงานสถิติแห่งชาติ. สำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2543, 2545)

สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  ดังนี้

  • ส่งเสริมการรู้หนังสือสำหรับชาวไทยในเขตภูเขา    แบบฝึกอ่านหนังสือไทย กศน.   ได้ปรับปรุง เนื้อหาสาระของหนังสือไทย กศน.ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่เขตภูเขา เช่น การแต่งกายและชื่อคน อาหารการกิน และอื่น ๆ  โดย รวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งน้ำ  ใช้ชื่อหนังสือว่า แบบฝึกอ่านหนังสือไทย กศน. พร้อมกันนี้ได้จัดทำแบบฝึกหัดคัดลายมือไทย  โปสเตอร์พยัญชนะไทย   แผ่นบทเรียนอิเลคโทรนิคส์หนังสือไทย กศน. และซีดีเพลงประกอบบทเรียนหนังสือไทย กศน.
  • ส่งเสริมการรู้หนังสือไทยสำหรับกลุ่มแรงงาน    กลุ่มแรงงานชาวมอญที่ทำงานอยู่ในโรงงานมีจำนวนมาก  กศน.จึงได้เปิดสอนกลุ่มผู้ไม่รู้หนังสือ เพื่อฝึกทักษะการฟังและพูดเพื่อใช้ในการสื่อสาร รวมทั้งฝึกอ่านและเขียนเพื่อเตรียมความพร้อมในการเรียนต่อระดับ ในบริเวณจังหวัดสมุทรสาคร  เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี  ชื่อหนังสือส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาไทยสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์มอญ  เนื้อหาสาระของหนังสือสอดคล้องวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของท้องถิ่น

 

การสอนการรู้ภาษาไทยสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ    ควรมีวิธีการสอนที่แตกต่างจากกลุ่มผู้เรียนที่พูดภาษาไทยได้ตั้งแต่เกิด   คือ   ใช้ภาษาไทยตั้งแต่เกิดเรียกว่าพูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ในชีวิตประจำวัน  แต่กลุ่ม เป้าหมายเฉพาะ  เช่น ชุมชนบนพื้นที่สูง  และกลุ่มแรงงานชาวมอญ  ไม่ได้พูดภาษาไทยตั้งแต่เกิด เรียกว่า พูดภาษากะเหรี่ยง/มอญเป็นภาษาแม่ในชีวิตประจำวัน  จึงต้องมีกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างเพื่อให้ผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายพิเศษสามารถ พูด ฟัง อ่าน และเขียนภาษาไทย ได้ในชีวิตประจำวันดีขึ้น

หนังสือส่งเสริมการรู้หนังสือภาษาไทย  เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสาระง่าย ๆ แต่กระบวนการคิด ยกร่าง และจัดทำแบบฝึกหัดค่อนข้างยากมาก เพราะต้องเป็นเนื้อหาและระดับความยากง่ายที่เหมาะสมกับผู้เรียน  รวมทั้งวิธีการสอนสำหรับกลุ่มเป้าหมายก็ต้องแตกต่างจากกลุ่มนักเรียนไทยที่พูดภาษาไทยตั้งแต่เกิด  จึงขอนำเสนอเทคนิคการสอนผู้ไม่รู้หนังสือ 5 ขั้นตอน คือ

1. สอนการฟังก่อน   จุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนสามารถจดจำเสียงต้นแบบของครู  ซึ่งครูจะออกเสียงชัดเจนและผู้เรียนจะรู้สึกคุ้นหูและสามารถจับเสียงหรือถ้อยคำที่พูดได้   ยกตัวอย่างชื่อที่ควรให้ผู้เรียนหัดฟังก่อน คือ ชื่อของครู  และมารยาทต่าง ๆ เช่น สวัสดี ขอโทษ ขอบคุณ  หรือสอนคำศัพท์พื้นฐานในชีวิตประจำวัน  เช่น นั่ง  ยืน เดิน หยุด  วิ่ง  สมุด  ดินสอ  หรือถ้าครูมีความสามารถก็อาจแต่งเป็นเพลง หรือนำเพลงเกี่ยวกับคำว่า สวัสดี ครูร้องให้ฟังก่อน ต่อมาจึงสอนให้พูด/ร้องเพลง

2. สอนฝึกหัดพูด      ต้องให้เวลาแก่ผู้เรียนในการฟังเสียงต้นแบบจากครูมากพอ เพื่อให้เด็กสามารถเลียนแบบเสียงและสามารถเปล่งเสียงเป็นคำพูดออกมาได้ เช่น  ชื่อครู  มารยาทต่าง ๆ เช่น สวัสดี  ขอบคุณ ขอโทษ  ครูอาจนำเพลง/แต่งเพลงให้ผู้เรียนร้องตาม ทำให้ผู้เรียนจดจำคำพูดและสามารถเปล่งเสียงพูด/ร้องออกมาตามครูได้

3. สอนให้หัดอ่าน  เป็นทักษะที่ค่อนข้างยาก  ต้องค่อย ๆ ฝึกเป็นระบบ และเป็นขั้นตอน คือ

  • หนึ่ง แนะนำตัวอักษร/พยัญชนะก่อน 44 ตัวอักษร ไม่ต้องสอนวันเดียว แบ่งสอนวันละ 3-5 ตัว      ดูที่ความพร้อมของผู้เรียน  แล้วครูอ่านให้ฟังก่อน 2-3 ครั้ง  หลังจากนั้นให้ผู้เรียนอ่านพร้อมกับครูทั้งชั้นจนมั่นใจว่าเด็ก/ผู้ใหญ่สามารถอ่านได้  แล้วขออาสาสมัคร 2-3 คน ออกมาอ่านพร้อมกับครูหน้าห้อง 2-3 ครั้ง   หลังจากนั้นให้เด็ก/ผู้ใหญ่อ่านทีละคน  อ่านจนครบ 44 ตัว  ครูอาจใช้วิธีสอนแบบไม่เรียงตัวตั้งแต่ ก ถึง ฮ เพื่อทดสอบว่าผู้เรียนเข้าใจตัวอักษรจริง ๆ โดยใช้วิธีสุ่มแต่ละตัวอักษรเพื่อให้ผู้เรียนออกเสียง ถ้าผู้เรียนออกเสียงถูกต้องถือว่าผู้เรียนสามารถอ่านตัวอักษรได้
  • สอง แนะนำการอ่านเป็นคำ    อาจใช้วิธีอ่านเป็นคำสอนก่อนก็ได้ เช่น คำว่า  นก  งู   หมู   ปลา ไก่    เป็ด   แล้วแยกสอนเป็นตัวพยัญชนะ ก็ได้  วิธีสอนชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้ใหญ
  • สาม แนะนำการอ่านเป็นประโยค และอ่านเป็นเรื่อง ตามลำดับ เพื่อฝึกทักษะในการอ่านเพิ่มขึ้น
  • สี่   ตามด้วยฝึกเขียน    การเขียนควรสอนเมื่อผู้เรียนมีความพร้อมในการฟังพูดอ่านได้อย่างคล่องแคล่วก่อน จึงเริ่มสอนทักษะการเขียน เพราะทักษะการเขียนเป็นเรื่องยาก โดยเริ่มต้นฝึกเขียนจากพยัญชนะก่อน ตามด้วย สระ และวรรณยุกต์  หรือจะเริ่มฝึกเขียนจากคำก่อนอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ควรเริ่มฝึกเขียนจากคำก่อนเพราะผู้ใหญ่จะสนุกกับการเรียนรู้ความหมายด้วย   ต่อจากนั้นก็สอนให้เขียนเป็นประโยค และเขียนเป็นเรื่องราว
  • ห้า  สอนให้รู้จักคิดวิเคราะห์   การคิดวิเคราะห์เป็นหัวใจหลักของการรู้หนังสือ นั่นหมายถึง สามารถเข้าใจเรื่องราวที่ฟัง  เรื่องราวที่พูด  เรื่องราวที่อ่าน  เรื่องราวที่เขียน  ได้เป็นอย่างดีจึงสามารถเข้าใจความหมาย ของคำ จับใจความสำคัญของเรื่อง  รู้จักถามรู้จักตอบ รู้จักวิเคราะห์/สังเคราะห์ รู้จักตีความหมายของเรื่อง และสามารถประเมินคุณค่าของเรื่องได้

โดยแท้จริงงานจัดการศึกษาสำหรับผู้ไม่รู้หนังสือ ยังมีอีกมากมายหลายพื้นที่ที่ต้องจัดการศึกษา  แต่ถ้าหากจะกล่าวตามความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยยิ่งมีอัตราผู้รู้หนังสือมากขึ้นเท่าไหร่  ภารกิจงานที่จะส่งเสริมผู้ไม่รู้หนังสือก็นับวันจะยากเย็นแสนเข็ญเป็นลำดับ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มที่เข้าถึงยาก เช่น ชาวไทยภูเขา ชาวเล  กลุ่มแรงงาน  ฯลฯ  แต่ถึงอย่างไร งานการส่งเสริมผู้ไม่รู้หนังสือเป็นภารกิจหลักที่ กศน.ให้ความสำคัญ และพยายามเข้าถึง และเพิ่มจำนวนผู้รู้หนังสือขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งปลอดผู้ไม่รู้หนังสือทีเดียว


.